วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556





ปราการด่านแรกของเจ้าหญิงไซคี คือการที่เทพีแอฟโฟรไดตี บัญชาให้นางแยกเมล็ดธัญญาหารซึ่งมีทั้งข้าวสาร ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด ข้าวบาร์เล่ย์ ถั่ว และงา ในยุ้งฉางออกแยกจากกันก่อนมืด เพื่อให้นกนางนวลของพระนางได้กิน  ไซคีถึงกับนิ่งงันไม่รู้จะคิดอ่านอย่างไร เพราะนางเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา จะทำเรื่องเกินขีดจำกัดแบบนี้ได้อย่างไร แต่นางก็กัดฟันแยกเมล็ดพืชอย่างยากเย็นเพียงเพราะอยากจะพบกับคิวปิดอีกสักครั้ง
คิวปิดทนดูชายาอย่างทุกข์ทรมานใจ จนในที่สุดก็สั่งให้ฝูงมดเข้าไปช่วยเจ้าหญิงไซคีจนสามารถแยกธัญพืชออกจนครบก่อนมืด เมื่อเทพีแอฟโฟรไดตีมาดูผลงานก็เคียดแค้นยิ่งขึ้น เพราะรู้ว่าคนที่คอยช่วยเหลือไซคีอยู่เบื้องหลังก็คือโอรสองค์โปรดของพระนางเอง

เมื่อแผนร้ายแรกไม่สำเร็จ เทพีแอฟโฟรไดตีจึงมีบัญชาให้ไซคีไปเก็บขนแกะทองคำจากฝูงแกะขนทอง อีกฝั่งของแม่น้ำซึ่งไหลรุนแรงเชี่ยวกราก ไซคียืนอยู่ตรงฝั่งน้ำที่ไหลบ่าอย่างน่ากลัว แถมฝูงแกะก็มีท่าทางโหดร้ายยิ่งนัก โชคดีที่เทพประจำแม่น้ำสงสาร จึงได้บอกให้ต้นกก ริมน้ำ กระซิบบอกไซคีว่า 'ให้รอจนถึงเย็น แม่น้ำจะไหลเอื่อยช้าลงให้นางข้ามไปได้โดยง่าย พอดีกับฝูงแกะที่อิ่มแล้วก็จะเชื่อง ต้นกกนั้นจะไปเสียดสีเอาขนแกะมาให้ ให้นางเก็บขนทองที่ติดอยู่ตรงต้นกกไปแล้วกัน 'เมื่อไซคีทำตามลำดับขั้นตอนก็สามารถทำภารกิจที่สองได้ลุล่วง ส่งผลให้เทพีแอฟโฟรไดตีกริ้วมากกว่าเดิม
เมื่อร้ายสองแผนที่ผ่านมาไม่สำเร็จ เทพีแอฟโฟรไดตี จึงฉุกคิดแผนร้ายสุดท้ายมาได้ คือมอบผอบทองคำแก่ไซคี ให้นางไปขอเครื่องประทินโฉมจากเทพีเพอร์ซิโฟเน เทพีแห่งยมโลก ซึ่งหมายถึงให้ไซคีไปตาย เจ้าหญิงไซคีท้อแท้ใจอย่างมาก ที่เทพีแอฟโฟรไดตีชิงชังนางมากขนาดนี้ แถมพระสวามีที่นางทนลำบากเพื่อตามหาก็ไม่เหลียวแลนางแม้แต่น้อย นางจึงปลงใจ คิดกระโดดเหวเพื่อตายไปยมโลกด้วยทางลัด
คิวปิดตกใจมากเมื่อเห็นชายาจะทำอย่างนั้น จึงกระซิบเอ่ยปลอบประโลมไซคีด้วยความรักอ่อนโยนที่มาจากใจ ทำให้จิตใจที่สิ้นหวังของไซคีมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงปริศนาอันเป็นมิตรแนะนำวิธีไปยมโลกเอาไว้หลายประการ เช่น เดินลัดเลาะไปตามภูเขาที่ลึกที่สุดจนกระทั่งถึงจุดที่เป็นประตูนรก ซึ่งจะมีเซอร์บิรัส  สุนัขปีศาจเฝ้าอยู่ ให้เอาขนมปังและเหล้าองุ่นหลอกล่อมัน จากนั้นก็ให้ติดค่าจ้างชารอนให้พาข้ามฟากน้ำสติกซ์ไปยังตำหนักเทพีเพอร์ซิโฟเน และเมื่อได้เครื่องประทินโฉมนั้นมา ห้ามเปิดดูเด็ดขาด
           ไซคีทำตามทุกประการ ยกเว้นประการสุดท้าย นางเผลอเปิดผอบดูด้วยความสงสัยซึ่งเป็นปกติของมนุษย์ผู้หญิง ทำให้ควันประหลาดพุ่งใส่ไซคี ภาพร่างของชายาล้มลงกับพื้น ทำให้หัวใจกามเทพหนุ่มแทบหยุดเต้น คิวปิดซึ่งรอคอยนางที่หน้าทางออกจึงรีบโผบินมาเก็บ'ควันมนตราแห่งการหลับใหล'เก็บลงในผอบและปลุกให้ไซคีฟื้นขึ้น  ทั้งคู่ดีใจอย่างสุดซึ้งที่ได้พบกันอีกครั้ง คิวปิดสัญญาว่าจะไม่จากนางไปอีก และตำหนินางเรื่องความสงสัยที่ให้โทษแก่นางมาตลอด ซึ่งไซคีก็ขอโทษสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง คิวปิดได้บอกให้ไซคีไปส่งผอบแก่เทพีแอฟโฟรไดตี เพราะเขาก็มีภารกิจสำคัญที่ต้องไปสะสาง


กามเทพหนุ่มบินขึ้นเขาโอลิมปัสเพื่อไปวิงวอนทวยเทพให้เห็นแก่ความรักของเขา ซึ่งเหล่าเทพก็เห็นใจในความทุกข์โศก ความยากลำบาก ความพยายาม ที่คู่รักคู่นี้กระทำเพื่อความรัก เทพซุสจึงขอให้ เทพีแอฟโฟรไดตีเลิกเกลียดชังไซคีและยอมรับนางเป็นสาวงามที่สุด  ทว่าช่วงเวลาชีวิตของมนุษย์นั้นไม่ยืนยาวนัก ไซคีรู้ดีว่านางจำเป็นต้องตายในสักวัน ไม่สามารถจะครองคู่กับคิวปิดซึ่งเป็นเทพตลอดไปได้ คิวปิดไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่าต้องสูญเสียไซคีไปอีก เหล่าเทพจึงได้มอบน้ำอมฤตแก่ไซคี ทำให้ไซคีกลายสภาพเป็นเทพีที่ไม่แก่และไม่ตาย และสามารถอยู่ร่วมกับคิวปิดไปตลอดกาล


ท้ายสุด คิวปิดและไซคี มีธิดาด้วยกันหนึ่งองค์คือ เดลิซิโอ  

 


 ยังเป็นเรื่องของนางไซคี ต่อนะคะ


 
                                
                          ภาพนี้อาจดูไม่เหมาะสมนะคะ เป็นงานทางศิลปะค่ะ



เมื่อยามรัตติกาลมาเยือน คิวปิดก็มาหาชายาสุดที่รักและได้หลับพักผ่อนข้างกายไซคี เมื่อรู้แน่แก่ใจว่าสวามีหลับสนิท ไซคีจึงลุกขึ้นมาจุดเทียนดูรูปโฉมของคิวปิด ปรากฏเป็นชายหนุ่มรูปร่างงดงามยิ่งกว่าชายใดที่นางเคยเห็นมา ผมนุ่มละเอียดสีทอง และปีกขาวสะอาดหนานุ่ม ไซคีมองดูสวามีอยู่นานราวกับต้องมนตร์จนกระทั่งน้ำตาเทียนหยดหนึ่งหยดต้องร่างกายคิวปิดจนเขาสะดุ้งตื่น  คิวปิดโกรธและเสียใจมากที่ไซคีผิดสัญญาแล้วยังคิดฆ่าเขาอีก คิวปิดจึงสยายปีกบินหนีออกนอกหน้าต่าง พร้อมกับบอกไซคีว่า 'หากมีความรักแต่ปราศจากความเชื่อใจ ก็ไม่อาจรักษาความรักนั้นเอาไว้ได้'และประกาศว่าจะลงโทษด้วยการจากนางไป...ตลอดกาล

เจ้าหญิงไซคีร่ำไห้อย่างหนัก จนเมื่อรู้สึกตัวก็รู้ว่าตนเองได้กลับมายังบ้านเมืองของตน ไซคีเสียใจที่ตนกระทำเรื่องเลวร้ายลงไปจึงไม่คิดนิ่งนอนใจอยู่สบายหาสวามีใหม่ นางเดินทางรอนแรมติดตามหาคิวปิดผู้เป็นสวามีอย่างยากลำบาก บุกป่าฝ่าดงเข้าเมือง ทั้งที่เป็นงานหนักมากสำหรับหญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูแบบเจ้าหญิง อีกทั้งไม่ยอมให้มีคนใช้ติดตามอำนวยความสะดวก นับว่าไซคีเป็นหญิงที่ซื่อสัตย์ต่อสวามีอย่างมาก

ขณะเดียวกับที่พระพี่นางทั้งสองรู้สึกสะใจมากกับการเห็นน้องนางของตนถูกทอดทิ้งเหมือนพวกนางในอดีต จึงได้เลิกรากับสวามีของพวกตนเดินทางไปที่ขุนเขาเพื่อไปหาคิวปิดเพราะคิดว่าคิวปิดอาจจะอยากได้ชายาใหม่ แต่ทว่ากามเทพหนุ่มก็มีความรักที่ซื่อตรงต่อเจ้าหญิงไซคีคนเดียวเช่นกัน พวกนางทั้งสองจึงตกเหวตาย เพราะคิดว่าเทพลมเซฟิโรสจะมารับ


เจ้าหญิงไซคีพเนจรไปเรื่อยจนถึงวิหารเทพีดีมีเทอร์ เทพีแห่งพืชผล พบว่าของบูชาซึ่งเป็นธัญญาหารต่างๆถูกวางระเกะระกะด้วยชาวไร่ชาวนาที่อ่อนล้าจากการทำงาน นางจึงได้จัดแจงจัดระเบียบพืชผลบูชาจนเรียบร้อย เทพีดีมีเทอร์ ชอบใจและสงสารไซคีมากจึงได้ปรากฏตัวและบอกว่านางควรไปขออภัยโทษจากเทพีแอฟโฟรไดตี ผู้เป็นมารดาของคิวปิด เพราะเมื่อใดที่คิวปิดหลบซ่อน เทพีแอฟโฟรไดตีพระองค์เดียวเท่านั้นที่จะหาเจอ


เทพีแอฟโฟรไดตี ผู้เคียดแค้นเจ้าหญิงไซคีเป็นทุนเดิมก็ยิ่งโกรธมากกว่าเดิมเพราะมารู้ทีหลังว่าหญิงที่พระนางเกลียดเข้ากระดูกกลับเป็นคนเดียวกับชายาของโอรส พระนางจึงคิดแผนการทำลายเจ้าหญิงคนงามอีกครั้ง โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่า หากเจ้าหญิงไซคีทำงานทั้งสามอย่างสำเร็จ พระนางจะไม่ขัดขวางความรักของไซคีและคิวปิด อีกทั้งจะคุยกับคิวปิดให้หายโกรธ และกลับมาอยู่กับไซคีอีกด้วย


เจ้าหญิงไซคียอมรับข้อเสนอทั้งที่ไม่รู้สักนิดเลยว่าความอันตรายหลายประการกำลังรออยู่เบื้องหน้า คิวปิดซึ่งหลบหนีไปอยู่คนเดียวได้รู้เรื่องเข้าจึงได้รีบมาเฝ้าคอยดูแลชายาของตนอย่างห่างๆไม่แสดงตัว เพราะสัญชาตญาณของกามเทพบอกว่า มารดาของตนไม่มีทางทำตามอย่างที่พระนางลั่นวาจาไว้เป็นแน่

 

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

                      มาแล้วจ้า ต่อจ่ากเนื้อเรื่อง บล็อกที่แล้วนะคะ


ขบวนส่งตัวเจ้าสาวที่เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ของเหล่าปวงประชา เจ้าหญิงไซคีในชุดเจ้าสาวใบหน้าซีดเผือดไร้ซึ่งความสุข พระบิดามารดาเสียใจอย่างมากมายที่พระธิดาที่รักที่สุดต้องประสบพบเคราะห์เช่นนี้ เมื่อขบวนอันงดงามไปถึงยอดเขา เหล่าผู้คนก็ต้องจำใจทิ้งไซคีไว้ผู้เดียวเพื่อให้เจ้าบ่าวเป็นฝ่ายมารับตัว
เจ้าหญิงไซคีรอคอยการมาของว่าที่สามีด้วยความหวั่นกลัว และแล้วก็มีผู้มารับนาง ทว่าผู้นั้นคือ เทพแห่งลมตะวันออก เซฟิโรส (เชื่อกันว่าลมตะวันออกเป็นลมที่พัดพาคู่รักให้ได้พบเจอกัน) เทพแห่งลมได้รับคำสั่งจากคิวปิด จึงได้บรรจงพัดพาเอาร่างของเจ้าหญิงไซคีบินข้ามผ่านหุบเหวลึกจนไปถึงตำหนักงดงามเพียบพร้อมราววิมานสวรรค์ มีทั้งสวนสวย น้ำพุสะอาด อาหารโอชะ และที่พักอาศัยที่งดงามเสียยิ่งกว่าวังที่จากมา แต่ตลอดเวลากลางวัน นางก็ยังไม่พบเจ้าบ่าวของนาง

คิวปิดได้บินมายังเรือนหอของตนเมื่อแน่ใจแล้วว่าทั่วทั้งตำหนักนั้นมืดสนิทในยามราตรี เทพหนุ่มได้มาหาเจ้าสาวและบอกว่าตนคือเจ้าบ่าวของนาง ทั้งคู่จึงได้ทำพิธีแต่งงานอย่างสมบูรณ์ และทันทีที่แสงอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า คิวปิดก็จะจากไซคีไปทันที เพราะกลัวว่าหากนางรู้ว่าตนเป็นกามเทพ ไม่ใช่อสุรกายอย่างที่กล่าวอ้าง เทพีแอฟโฟรไดตีอาจจะกลับมาทำร้ายไซคีก็ได้ และหลังจากได้อยู่กินในสภาพเช่นนั้น คิวปิดจึงโกหกมารดาได้ว่าไซคีต้องทรมานกับการมีสวามีอสุรกายดังที่บัญชา

ไซคีรู้สึกผูกพันกับสามีของตนและไม่คิดรังเกียจหากเขาจะเป็นอสูรจริง นางจะคอยเฝ้าเวลาอาทิตย์อัสดงซึ่งเป็นเวลาที่คิวปิดจะมาหา สามีภรรยาต่างรักใคร่กลมเกลียวอยู่นานหลายเดือน จนกระทั่งความสงสัยที่ว่ารูปร่างของสามีตนเป็นอย่างไรก็มารุมเร้าไซคีเพราะความรู้สึกได้บอกว่าสามีของตนไม่ได้น่าเกลียดน่ากลัวอย่างที่กล่าวอ้าง เจ้าหญิงได้ซักถามเพื่อขอดูรูปโฉมของเขา แต่แน่นอน คิวปิดปฏิเสธ และขอสัญญาจากไซคีว่าจะไม่พยายามดูรูปโฉมของเขาเป็นอันขาด

เพราะความเหงาที่จากบ้านมานาน และต้องอยู่คนเดียวตลอดเวลากลางวัน ไซคีจึงขอคิวปิดให้ตนได้พบพี่สาว คิวปิดจึงสั่งให้เทพลมเซฟิโรส พัดพาพระพี่นางของไซคีมายังตำหนักยอดเขา พระพี่นางทั้งสองเกิดความอิจฉาน้องนางของตนอย่างสุดหัวใจเมื่อเห็นตำหนักที่สวยงาม และน้องสาวก็ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรที่มีสามีเป็นอสุรกาย จึงได้ยุแยงให้นางหาเทียนมาจุดดูรูปโฉมของคิวปิด และมอบดาบให้นางเพราะหาว่าถ้าอสุรกายนั้นรู้ว่านางผิดสัญญาอาจจะทำร้ายนางได้ เพราะเลือดข้นกว่าน้ำ เจ้าหญิงไซคีจึงหลงเชื่อพระพี่นางของตนเอง
 

วันพฤหัสบดีที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556




ไซคี ชายาของเทพอีรอส ( คิวปิด)
 
 
นางไซคี เป็นเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์กรีกโบราณ ถึงแม้เป็นเพียงสาวชาวมนุษย์ ทว่ามีสิริโฉมที่งดงามจนเอาชนะนางแอฟโฟร ไดตี เทพีแห่งความงามได้ เจ้าหญิงไซคี มีพระพี่นางสองพระองค์ ซึ่งอิจฉาริษยาตนอย่างมาก เพราะพวกนางมีความงามทั้งกายและใจ ที่สู้ไซคีไม่ได้ อีกทั้งพระบิดามารดาและเหล่าประชาชนก็รักเจ้าหญิงไซคีมากกว่าพวกตนอีกด้วย โชคชะตาขององค์หญิงผู้เลอโฉมองค์นี้ ได้เปลี่ยนไป เมื่อความสวยหยาดฟ้าดินของนางเกิดไปสร้างความเจ็บแค้นให้เทพีแอฟโฟรไดตีเป็นอย่างมาก เพราะประชาชนชาวกรีกต่างไม่บวงสรวงบูชาพระนางอย่างดีเหมือนเก่าก่อน ดังนั้น เทพีแอฟโฟรไดตี พิโรธมากเมื่อมีหญิงที่งามกว่าตน พระนางจึงคิดวางแผนทำลายล้างเจ้าหญิงไซคีทันที
 
แผนการที่ว่าก็คือ ให้กามเทพคิวปิด โอรสของพระนางเองไปยิงศรความรักให้นางไซคีหลงรักชายชั่วเลวทรามที่สุดในแผ่นดินสักคนหนึ่ง หรือไม่ก็อสุรกายที่น่าเกลียดน่ากลัวที่สุด เพื่อให้เจ้าหญิงไซคีต้องทุกข์ทรมาน กามเทพคิวปิดเกิดความสงสารทว่าไม่เคยขัดบัญชามารดา จึงจำใจบินไปยังตำหนักที่ประทับขององค์หญิงไซคี โดยมีลูกศรความรักอยู่ในมือ  แต่แค่กามเทพหนุ่มได้มองเจ้าหญิงไซคี ซึ่งกำลังหลับอยู่อย่างสบาย มือที่รั้งคันศรเตรียมยิงก็ชะงักลง คิวปิดตกอยู่ในภวังค์ชมโฉมไซคีอย่างหลงใหล เนิ่นนานจนลืมหน้าที่ของตน กระทั่งนางไซคีพลิกตัว คิวปิดสะดุ้งตกใจจนลูกศรความรักแทงเข้าถูกตนเองอย่างจัง! กลับกลายเป็นว่า คิวปิดหลงรักไซคีจนหมดใจ ถึงพยายามตัดใจแต่ก็ไม่อาจต่อต้านฤทธิ์ลูกศรแห่งความรักได้ กามเทพหนุ่มเก็บความรู้สึกที่มีไว้ เพราะถ้าหากมารดาของตนรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับไซคี เจ้าหญิงองค์นี้คงไม่ปลอดภัยแน่นอน คิวปิดไปขอร้องเหล่าทวยเทพให้ช่วยเหลือตนด้วย ซึ่งเหล่าเทพโอลิมปัสก็เห็นใจในความรักของคิวปิด จึงได้ช่วยเหลืออย่างลับๆโดยไม่ให้เทพีแอฟโฟรไดตีรู้
 
แผนการอันดับแรกของกามเทพได้เริ่มขึ้น โดยการป้องกันไม่ให้ผู้ใดมาสู่ขอไซคี เหล่าผู้คนคิดว่านางงดงามจนไม่คู่ควรกับมนุษย์ จึงไม่มีชายใดกล้าไปสู่ขอเจ้าหญิงไซคี กระทั่งวันเวลายิ่งผ่านไป พระพี่นางที่งดงามน้อยกว่าก็ต่างออกเหย้าออกเรือน ทิ้งไว้เพียงน้องนางองค์เล็กสุด พระบิดาพระมารดาของไซคีวิตกกังวลมาก จึงไปขอคำทำนายจากวิหารเดลฟี ซึ่งเป็นวิหารขององค์เทพอพอลโล เทพอพอลโลนั้นก็เป็นหนึ่งในกลุ่มเทพที่ช่วยเหลือคิวปิดอยู่ จึงบอกคำทำนายผ่านร่างทรงไปว่า 'คู่ครองของเจ้าหญิงไซคีมิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เป็นอสุรกายน่าเกลียดน่ากลัวที่มีฤทธิ์เดชมากมาย ไม่มีเทพองค์ใดสามารถต้านทานได้ ขณะนี้คู่ครองของไซคีรออยู่ที่ยอดเขา และห้ามนางมองรูปโฉมของสามีเป็นอันขาดในตลอดเวลาที่อยู่กินกัน'
 
คำทำนายนั้นราวกับเป็นคำสาปที่ทำให้ประชาชนชาวกรีกต้องร่ำไห้โศกเศร้าในโชคชะตาอันโหดร้ายของเจ้าหญิงอันเป็นที่รัก โดยเฉพาะไซคีเอง แต่นางปลงในโชคร้ายของตนและยอมที่จะแต่งงานกับอสุรกายตามคำทำนายที่ว่าไว้
 
 
โปรดติดตามตอนต่อไป (ในไม่ช้า)
 
 


วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556




HERA – ฮีรา (กรีก) หรือ จูโน (โรมัน)   เทพีที่คุ้มครองสตรีและการวิวาห์





        ฮีรา เป็นธิดาองค์ใหญ่ของเทพไททันโครนัส กับเทพมารดารีอา  เป็นชายาและ พี่สาว ของซุส พระนางเป็นเทพีแห่งหญิงสาวและชีวิตสมรส เป็นผู้ปกป้องสตรีที่แต่งงานแล้ว พระนางทรงประทับบนพระบัลลังก์ทองคำ เคียงข้างซุสบนภูเขาโอลิมปัส และทรงพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ใส่พระทัยกับเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรมของสวามี เทพีฮีราได้รับการกล่าวขานว่าเป็นเทพธิดาผู้มีพระกรใสกระจ่างดุจงาช้าง ในตำนานโบราณ สัตว์ประจำองค์ของเทพีฮีรา คือ วัว แต่ในตำนานยุคใหม่ นกยูง  เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ประจำพระองค์ และจะตามเสด็จอยู่ไม่ห่าง ส่วนพฤกษาประจำตัวของเทพีฮีรา คือ ผลทับทิม
          เทพีฮีรา เป็นที่รู้จักกันดีในด้านของอารมณ์ดุร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อชายาองค์อื่นๆของซุส และบุตรที่เกิดจากชายาเหล่านั้น ไม่ว่าพวกนางจะเป็นเทพีหรือเป็นมนุษย์ก็ตาม ตัวอย่างของผู้ที่ถูกเทพีฮีราปองร้ายมีมากมาย เช่น เทพีลีโต มารดาของเทพอพอลโล และเทพีอาร์เทมิส  เฮอร์คิวลิส ไอโอ ลามิอา เกรานา ซิมิลี มารดาของเทพไดโอนีซุส ยูโรปา เป็นต้น ก็จะเจอจุดจบแบบไม่สวยงาม
            และเรื่องราวที่เทพีฮีรา ได้เป็นพระชายาของซุสนั้น โดยตำนานได้กล่าวว่า เมื่อเหล่าเทพโอลิมเปียนได้เอาชนะโครนัส และย้ายขึ้นมาสร้างวิมานบนเทือกเขาโอลิมปัสแล้ว ซุสก็ได้เสาะหาหญิงงามผู้คู่ควรกับตำแหน่งราชินีแห่งเทพทั้งมวล และในที่สุดพระองค์ก็ตัดสินใจเลือกเทพีฮีรา ซึ่งเป็นพีสาวของตนเอง  แต่เทพีฮีราไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ เพราะขยาดในความเจ้าชู้ของซุสนั่นเอง  และขังตนเองอยู่ในวิหาร เพื่อหนีจากการสมรสกับมหาเทพแห่งโอลิมปัส ซุสจึงปลอมตัวเป็นนกเขาบาดเจ็บบินเข้าไปซบตรงอกของฮีรา และแน่นอนว่าเทพีผู้อ่อนหวานจะต้องนำนกตัวนั้นเข้าไปพยาบาลในวิหารแน่นอน เมื่อทั้งคู่เข้าไปในวิหารของฮีราแล้ว ซุสก็กลับร่างเป็นมหาเทพ และรวบรัดฮีราเป็นราชินีของพระองค์
            และชาวกรีกโบราณ เชื่อกันว่า ชีวิตการครองคู่ของเทวีฮีรากับเทพซุสไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก มักจะทะเละเบาะแว้ง เป็นปากเสียงกันตลอดเวลา และในเวลาที่เกิดฟ้าคะนองดุเดือดขึ้นเมื่อไร นั่นคือสัญญาณว่าซุสกับฮีราต้องทะเลาะกันเป็นแน่ เพราะ 2 เทพนี้เป็นสัญลักษณ์ของสรวงสวรรค์ เมื่อท้องฟ้าเกิดอาเพศ ก็เหมาเอาว่าเป็นเพราะการขัดแย้งรุนแรงของเทพคู่นี้
            เทพีเฮรามีโอรสธิดากับเทพซุส 4 องค์ นามว่า เฮบี  อิลลิธธียา   เอเรส  และฮีฟีสทัส  

 
 
 
 
 
 
 
 
 
NEPTUNE – โพไซดอน (กรีก)  เนปจูน (โรมัน) เทพเจ้าแห่งท้องทะเลและมหาสมุทร
 
 
เป็นผู้ปกครองดินแดนแห่งท้องน้ำ ตั้งแต่แหล่งน้ำจืด เช่น แม่น้ำ ลำคลอง จนถึงใต้บาดาล แต่ปกครองเฉพาะทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีตรีศูลเป็นอาวุธ บางตำนานกล่าวว่ามีท่อนล่างเป็นปลา นอกจากนี้แล้วยังถือว่าเป็นเทพแห่งแผ่นดินไหว และเป็นเทพแห่งม้าด้วย
 โพเซดอนเป็นบุตรของโครนัสกับรีอา มีพี่น้องร่วมบิดามารดาอีก 5 องค์ ซึ่งล้วนแต่เป็นเทพแห่งโอลิมเปียนทั้งสิ้น ได้แก่
          1.เฮสเทีย เทพีแห่งเตาผิง ผู้ดูแลครัวเรือน
          2.ดีมิเตอร์ เทพีแห่งธัญพืชและการเกษตร
          3.ฮีรา ชายาแห่งเทพซุส เทพีผู้คุ้มครองสตรีและการสมรส
          4.ฮาเดส ผู้ครอบครองยมโลก
          5.ซุส ผู้เป็นใหญ่ในสภาเทพแห่งโอลิมปัส
            รูปลักษณ์ของโพเซดอนที่ปรากฏ เป็นชายวัยกลางคน รูปร่างกำยำล่ำสัน มีหนวดเครา ถือ สามง่ามเป็นอาวุธ ซึ่งสามง่ามนี้มีอิทธิฤทธิ์มาก สามารถดลบันดาลให้เกิดทะเลคลั่งหรือแผ่นดินไหวได้ ครั้งหนึ่งโพเซดอนเคยคิดที่จะโค่นอำนาจของซุส โดยร่วมมือกับฮีราและอธีนา แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกซุสลงโทษ โดยการให้ไปสร้างกำแพงเมืองทรอยร่วมกับอพอลโล                                    
โพเซดอนมีพระชายาองค์หนึ่งคือ แอมฟิไทรท์ ซึ่งเป็นพรายน้ำ หรือบุตรสาวของ นีริอัสและดอริส โพไซดอนเห็นนางเต้นรำร่วมกับเหล่าพรายน้ำอื่นๆ จึงลักพาตัวนางไปเป็นชายาในดินแดนใต้สมุทร  ชายาอีกองค์หนึ่งของโพไซดอนเป็นหญิงรับใช้ของอธีนา คือ เมดูซ่า ก่อนที่จะถูกสาปให้มีผมเป็นงู เพราะหลงใหลในความงามของเมดูซ่า เมื่ออธีนาทราบเรื่องจึงสาปเมดูซ่า ให้เป็นปีศาจที่มีผมเป็นงู และเมื่อมองใครก็จะกลายเป็นหินไปหมด เมื่อเพอร์ซีอุส ตัดศีรษะของเมดูซ่าแล้ว เลือดของเมดูซ่าที่กระเซ็นออกมา กลายเป็นม้าบินสองตัว คือ เพกาซัส และ คริสซาออร์  จึงถือว่า ทั้งเพกาซัสและคริสซาออริ เป็นลูกของโพเซดอนด้วย
            พาหนะของ โพเซดอน เป็นม้าน้ำเทียมรถ ที่มีส่วนบนเป็นม้าและท่อนล่างเป็นปลา ซึ่งบางครั้งจะพบรูปโพเซดอนอยู่บนรถเทียมม้าน้ำนี้ขึ้นมาจากทะเล
            วิหารที่สร้างเพื่อบูชาเทพโพไซดอน อยู่ที่แหลมสุนิอ้อน ห่างจากกรุงเอเธนส์ ไม่มากนัก

วันพฤหัสบดีที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2556






HEPHAESTUS - ฮีฟีสทัส      เทพแห่งไฟ ที่เป็นช่างเหล็กให้แก่ทวยเทพ

 
 

เทพฮีฟีทัส เป็นเทพโอลิมเปียนครองการช่าง เป็นบุตรของเทพีฮีรากับเทพซุส ในคราวหนึ่งเทพซุส ประสงค์จะลงโทษเทพีฮีราให้เข็ดหลาบ โดยการเอาโซ่ทองล่ามไว้กับกิ่งฟ้า ห้อยโตงเตง ดังนั้น ฮีฟีสทัสก็เข้าช่วยมารดา พยายามแก้ไขโซ่ เพื่อที่จะให้แม่เป็นอิสระ ซุสบันดาลโทสะ จึงจับฮีฟีสทัส ขว้างลงมาจากสวรรคโลก
 เทพฮีฟีสทัส ตกจากสวรรค์เป็นเวลาถึง 9 วันจึงลงมาถึงมนุษย์โลก ณ เกาะเลมนอส ในทะเลจีน และในการตกครั้งนี้ เทพฮีฟีสทัส จึงเป๋ไปข้างหนึ่งตั้งแต่นั้นมา แต่ทั้งที่ เทพฮีฟีสทัส ต้องพิการเช่นนี้ หมายจะช่วยมารดาแต่ เทพีฮีราก็ไม่แยแสเหลียวแล  เทพฮีฟีสทัส จึงเสียใจเป็นอย่างมาก ความเฉยเมยของมารดา ทำให้เทพฮีฟีสทัส ตั้งปณิธานว่าจะไม่กลับขึ้นไปบนเขาโอลิมปัสอีก จึงสร้างวังประทับอยู่ในเกาะเลมนอส และตั้งโรงหล่อในการประกอบ โลหะนานาชนิด โดยมีพวกยักษ์ไซคลอปส์ (ยักษ์ตาเดียว) เป็นลูกมือ และเทพฮีฟีสทัส ประชดมารดา ด้วยการสร้างบัลลังก์ทองคำเปล่งสะพรั่งพร้อมด้วยลวดลายสลักเสลาอย่างหาที่เปรียบมิได้ขึ้น  เป็นบัลลังก์กลประกอบด้วยลานกลไกซ่อนอยู่ข้างใน ส่งขึ้นไปถวายเจ้าแม่ฮีรา เจ้าแม่ยินดีในรูปลักษณะอันแสนงามของบัลลังก์กล สำคัญกว่าเป็นของที่บุตรถวาย พอขึ้นประทับเครื่องกลไกที่ซ่อนอยู่ก็ดีดกระหวัดรัดมารดา ตรึงติดกับบัลลังก์อย่างมั่นคง จนไม่สามารถแม้แต่จะขยับเขยื้อนองค์ได้ แม้เทพทั้งปวงจะรวม กำลังกันเข้าแก้ไขก็จนปัญญา ไม่มีทางปลดเปลื้องพันธนาการให้หลุดออกไปได้
 เมื่อเหนือกำลังทวยเทพ ดังนั้น เฮอร์มีส เทพผู้สื่อสาร หรือ ลิ้นทูต จึงอาสามาเกลี้ยกล่อม ขอให้ฮีฟีสทัสขึ้นไปช่วยแก้ แต่ ลิ้นทูต ของเฮอร์มีสกลับกลายเป็น "ลิ้นถึก" ซึ่งในกรณีนี้ แม้เฮอร์มีส จะหว่านล้อมด้วยความคมขำไพเราะสักเพียงใด ก็ไม่อาจชักจูงฮีฟีสทัสให้ขึ้นไปบนเขาโอลิมปัสได้
 เหล่าทวยเทพจึงประชุมปรึกษากันอีกวาระหนึ่ง มองไม่เห็นใครนอกจากเทพไดโอนีซุส ที่สามารถช่วยได้ จึงเห็นชอบพร้อมกันส่งไดโอนีซุส ลงมาเกลี้ยกล่อมเทพฮีฟีสทัสด้วย อุบาย คือใช้วิธีมอมเทพฮีฟีสทัสด้วยน้ำองุ่น จนเทพฮีฟีสทัสมึนเมา แล้วไดโอนีซุสก็พาเทพฮีฟีสทัสขึ้นไปแก้เครื่องกลพันธนาการให้เทพีฮีราเป็นอิสระ ไม่เพียงแค่นั้น ไดโอนีซุสยังช่วยไกล่เกลี่ยให้เทพซุส เทพีฮีรา และเทพฮีฟีสทัส เข้าใจกันอีกด้วย
              แต่ทั้งที่ได้รับความยกย่องโปรดปรานเทียมเท่าเทพองค์อื่น ๆ ในคณะเทพโอลิมเปียนแล้วเช่นนั้น ฮีฟีสทัสก็ไม่ยินดีที่จะอยู่บนเขาโอลิมปัสเป็นประจำ จะขึ้นไปก็เฉพาะคราวประชุมเทพสภาและในวาระอื่น ๆ เท่านั้น ในยามปกติเทพฮีฟีทัสคงขลุกอยู่ในโรงหล่อ และหมกมุ่นง่วนกับงานช่างของตัวเองเป็นนิตย์ จะเปรียบเป็น พระเวสสุกรรมของกรีก เพราะการสร้างวังที่ประทับของเทพแต่ละองค์บนเขาโอลิมปัสนั้นเป็นงานเทพฮีฟีสทัส ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้ออกแบบประกอบเครื่องตกแต่งตำหนักต่าง ๆ ด้วยโลหะประดับมณีแวววาว จับตา และประกอบ สายฟ้า ให้เป็นอาวุธ ถวายแก่ซุส กับศรรักให้อีรอส
 
 
 

วันพฤหัสบดีที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2556




CUPID – คิวปิด (โรมัน) หรือ อีรอส (กรีก)
เทพแห่งความรัก เป็นบุตรของ เทพีวีนัส หรือ แอฟโฟรไดตี
 

 
 
          ในตำนานการกำเนิดของคิวปิดส่วนใหญ่ที่ปรากฏบอกไว้ว่า เทพีวีนัส ได้ลักลอบเป็นชู้กับเทพสงครามเอรีส (เนื่องจากฝ่ายหญิงได้สมรสแล้วกับเฮเฟสทัส เทพแห่งการช่าง) แต่เทพีวีนัสไม่พอใจ เพราะสวามีเอาแต่ขลุกอยู่กับงานของตน อีกอย่าง พระนางก็พอใจเทพเอรีสมาแต่แรก แต่ที่ได้แต่งงานกับเทพเฮเฟสทัสเพราะเทพซุส ยกพระนางให้เป็นรางวัลแก่เทพเฮเฟสทัส   จนกระทั่งมีโอรส ให้นามว่า คิวปิด หรือ อีรอส กล่าวกันว่า คิวปิดติดแม่มาก และเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง เห็นเทพีวีนัสที่ใดก็ต้องมีโอรสคู่ใจอยู่ด้วยเสมอ แต่เวลาก็ล่วงเลยมานาน กามเทพควรที่จะเติบโตเป็นหนุ่ม แต่กลับไม่ยอมเติบโตขึ้นตามกาลเวลา  เทพีผู้เป็นมารดาหนักใจมากจึงไปปรึกษาเทพีธีมิส เทพีแห่งความยุติธรรม พระนางจึงได้คำตอบว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะคิวปิดเหงา ไม่มีเพื่อนเล่น หากคิวปิดมีน้อง กามเทพน้อยก็จะเติบโตเอง ไม่นานจากนั้น เทพีวีนัส ก็มีโอรสอีกองค์กับเทพเอรีส ให้นามว่า แอนตีรอส (เทพแห่งการรักตอบ) คิวปิดจึงเติบโตขึ้นตามเวลา กลายเป็นเทพบุตรรูปงาม หล่อเหลา เป็นที่ประทับใจของสาวๆในหมู่นางฟ้า นางไม้ และนางพราย
            เมื่อเทพอีรอสเติบโตเป็นเทพบุตรรูปงามแล้ว พระองค์ก็มีความรักกับเจ้าหญิงไซคี แต่กลับไม่เป็นที่พอใจของเทพีแอฟโฟรไดเพราะเจ้าหญิงไซคีทรงสิริโฉมงามเป็นที่เล่าลือ พอเทพีแอฟโฟรไดตี อยากรู้ว่าจะงามกว่าพระองค์ไหม พอเห็นกับตา คืองามมากเหมือนดอกไม้ที่ยังตูมและบริสุทธิ์ผุดผ่อง พระองค์มาย้อนดูตัวที่งามจริงแต่ไม่ได้งามอย่างบริสุทธิ์และมีคุณค่า พระองค์จึงคิดกำจัดเจ้าหญิงพระองค์นี้ จึงวานให้เทพอีรอสผู้เป็นพระโอรสไปทำงาน โดยให้ยิงศรรักต้องนางไซคีต้องให้นางรักกับอสูรกาย พื่อให้นางเสื่อมเสียเกียรติ แต่ผลออกมาเทพอีรอสเกิดอึ้งในความงามของเจ้าหญิงไซคีจนบังเอิญเพ้อให้ศรรักถูกตัว เพียงสะกิดก็บังเกิดความรักได้ เทพอีรอสต้องพิษของศรรักเสียแล้ว พระองค์มิได้ทำตามคำสั่งของพระมารดาแต่ยังทำการจนได้เจ้าหญิงไซคีมาเป็นพระชายา โดยให้เจ้าหญิงสัญญาว่าจะไม่เห็นตัวพระองค์ เพราะตัวพระองค์น่าตาอัปลักษณ์น่ารังเกลียด แต่เจ้าหญิงกลับไม่เชื่อจึงแอบจุดเทียนดูตอนเทพอีรอสหลับผลปรากฏว่า เห็นเทพบุตรรูปงาม แต่เจ้ากรรมน้ำตาเทียนหยดลงบนตัวของเทพอีรอส พระองค์ตื่นด้วยความตกใจและเห็นว่า เจ้าหญิงไซคีชายาอันเป็นที่รักผิดสัญญา พระองค์จึงบินหนีไปและไม่กลับมาอีกเลย
 
 
 

HADES – ฮาเดส (กรีก) หรือ พลูโต (โรมัน)

เทพเจ้าผู้ปกครองนรกและโลกหลังความตาย

 

          ในตำนานถือว่ามีศักดิ์เป็นพี่ชายของ ซุส ราชาแห่งเหล่าเทพ และยังถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งทรัพย์  เพราะเทพฮาเดส มีสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างภายใต้พื้นพิภพ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ดีส (Dis) ซึ่งแปลตรงตัวว่า ทรัพย์สิน

           ฮาเดส แท้ที่จริงแล้วเป็นเทพที่มีความยิ่งใหญ่อีกองค์หนึ่งเช่นเดียวกับซุส หรือ โพไซดอน เนื่องจากเป็นพี่น้องกัน แต่ทว่าความที่ฮาเดสเป็นผู้ปกครองนรก ซึ่งเป็นโลกใต้ดิน ซึ่งมีแต่ความมืดมิดและน่ากลัว จึงไม่อยากขึ้นไปยังเขาโอลิมปัส อีกทั้งเทพองค์อื่น ๆ ก็ไม่จะต้อนรับฮาเดส ด้วย ดังนั้น ฮาเดสจึงไม่มีชื่อเป็นหนึ่งในเทพโอลิมปัส เฉกเช่นองค์อื่น ๆ

           ฮาเดส ได้ชื่อว่าเป็นเทพที่มีความเที่ยงธรรมอย่างมาก ตัดสินความดีชอบของคนตายโดยปราศจากอคติใด ๆ ทั้งสิ้น กล่าวกันว่า พระองค์มีหมวกวิเศษอยู่ใบหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้สวมหายตัวได้ ซึ่งในครั้งที่ทำสงครามกับเหล่าไททันนั้น ฮาเดสใช้หมวกนี้ลอบเข้าไปทำลายอาวุธของไททันก่อนการต่อสู้ และพระองค์มีเทพผู้ช่วยในการตัดสินความดีชั่วในยมโลกอีก 3 องค์คือ ราดาแมนทีส ไมนอส ไออาคอส ที่เรียกว่า สามเทพสุภา และยังมีฮิปนอส เทพแห่งการหลับใหล และ ทานาทอส เทพแห่งความตายคอยช่วยอีก

           ฮาเดส มีชายาองค์หนึ่งชื่อ เพอร์ซิโฟเน เป็นเทพแห่งฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งเป็นพระธิดาองค์เดียวของ ดีมิเทอร์ เทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์และการเกษตร จากความงดงามของนางเพอร์ซิโฟเน ทำให้ฮาเดส ลืมไปว่า แท้ที่จริงแล้ว นางคือหลานสาวแท้ ๆ ของตน เพราะว่า ดีมิเทอร์มีศักดิ์เป็นน้องสาวของพระองค์เอง เมื่อฮาเดส ได้ฉุดนางไปเป็นเทพีแห่งนรกคู่กัน ทำให้เกิดเป็นกรณีพิพาทขึ้นระหว่างทวยเทพแห่งโอลิมปัส ซุสซึ่งเป็นองค์ประธานได้ตัดสินให้ฮาเดสต้องคืนเพอร์ซิโฟเนแก่ดิมิเทอร์ ฮาเดส จึงใช้อุบายทำให้เพอร์ซิโฟเน สามารถกลับมาออกมาจากนรกได้เพียงแค่ปีละ 3 เดือน และเหตุนี้จึงเป็นเหตุที่ทำให้ฤดูใบไม้ผลิเกิดขึ้นเพียง 3 เดือนเท่านั้น

          ชาวกรีกโบราณจะถวายการสักการะแด่ฮาเดส ด้วยแกะดำ และเป็นพิธีกรรมที่เร้นลับ หากจะบูชาเทพแห่งความตายหรือเทพอันใดที่เป็นสัญลักษณ์ของความน่ากลัวหรือชั่วร้าย ต้องบูชายัญด้วยแพะหรือแกะดำ

 

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556





BACCHUS – แบกคัส หรือ ไดโอไนซัส เทพแห่งไวน์ ความอุดมสมบูรณ์และความสนุกสนาน


 


          
เทพแบกคัส เป็นบุตรของเทพซุสกับนางซิมิลี่ ซึ่งเป็นมนุษย์ ธิดาแห่งกรุงเธป เทพซุสได้แปลงกายเป็น มนุษย์รูปงามลงมาโลกมนุษย์ เพราะเกรงว่ามเหสี พระนางเฮร่า จะรู้เข้า และกลัวว่านางซิมิลี่จะเกรงกลัวในรัศมีของพระองค์ และในที่สุด ก็ได้นางเป็นชายาอีกองค์ แต่แล้ว พระนางเฮร่า ก็รู้เข้า จึงได้แปลงกายมาเป็นคนรับใช้ของนางซิมิลี่ มาหลอกล่อให้นางอยากเห็นรูปร่างที่แท้จริงของเทพซุส
 นางซิมิลี่ จึงได้ให้เทพซุสในรูปมนุษย์ ไปสาบานกับแม่น้ำสติ๊กซ์ ว่าจะให้ของขวัญแก่นาง แล้วนางซิมิลี่ ก็ให้เทพซุสเปลี่ยนร่างที่แท้จริงออกมา พระองค์เกรงว่า ถ้าให้นางเห็นร่างที่แท้จริงของพระองค์ จะทำให้นางซิมิลี่มอดไหม้ เพราะ รัศมีของพระองค์ จึงบอกแก่นางซิมิลี่ว่า จะดูแลลูกในครรภ์ของนาง ส่วนนางก็จะได้รับของขวัญสมใจ แล้วพระองค์ก็ได้ เปลี่ยนร่างเป็นเทพซุส นางซิมิลี่ก็มอดไหม้ไป แต่บุตรของนางไม่เป็นอะไรเพราะ เป็นบุตรแห่งเทพ จากนั้น เทพซุส จึงได้ให้พวกนิมฟ์ล นางไม้ ดูแลเทพแบกคัส พวกนิมฟ์ล ได้สอนให้เทพแบกคัส ปลูกพืชต่างๆ โดยเฉพาะองุ่น ต่อมาพระองค์ได้ทดลองนำองุ่นไปหมักเอาไว้ และก็ได้ค้นพบ น้ำองุ่นที่รสชาติดีอย่างประหลาด ยิ่งดื่ม ยิ่งมึนเมา ยิ่งอยากดื่ม ยิ่งสนุกสนาน พระองค์จึงได้เผยแพร่การทำไวน์องุ่นไปทั่วแดน และต่อมา เทพซุส ได้รับพระองค์ไปเป็นเทพโอลิมปัสอีกพระองค์
 
เทพแบกคัส ยังเป็นเทพของการเกษตรกรรม และการละคร นอกจากนั้นก็ยังรู้จักกันในนามว่า ผู้ปลดปล่อย ที่ปลดปล่อยส่วนลึกของตนเองโดยทำให้คลั่ง หรือให้มีความสุขอย่างล้นเหลือ หรือด้วยเหล้าองุ่นหน้าที่ของแบกคัส คือเป็นผู้สร้างดนตรีออโลส และยุติความกังวล






CERES – ซีรีส (โรมัน) หรือ ดิมิเทอร์ (กรีก) เทพีแห่งการเกษตร
 
เป็นพระชายาพระองค์หนึ่งของเทพซุส
 
   เทพีดีมิเทอร์มีธิดาองค์หนึ่งทรงนามว่า  โพรสเสอพิน  หรือ เพอร์เซโฟนี เป็นเทวีครองฤดูผลิตผลของพืชทั้งปวง เทพีองค์นี้ถูกฮาเดสลักพาตัวไปเป็นคู่ครองในยมโลก
  เมื่อเทพีดีมิเทอร์กลับมาจากทุ่งข้าวโพดไม่เห็นธิดา  เที่ยวเรียกหาแต่ก็ไม่พบก็ เทพีไม่ได้ห่วงถึงภาระหน้าที่ประจำ ที่เคยปฏิบัติ  ดอกไม้ทั้งปวง  จึงเหี่ยวเฉาเพราะขาดฝน  พืชพันธุ์ธัญญาหารถูกแดดแผดเผา ในที่สุดเจ้าแม่ก็สิ้นหวังทีจะตามหาธิดาของพระองค์ แต่เพื่อไม่ให้ผู้ใดรู้จัก เทพีดีมิเตอร์ได้จำแลงองค์เป็นยายแก่  ในขณะที่นั่งพักอยู่นั้น  พวกธิดาของเจ้านครอีลูสิส เห็นยายแก่มานั่งคร่ำครวญคิดถึงลูก เกิดความสงสาร และเพื่อที่จะให้ยายหายโศกเสร้า นางจึงชวน ยายแก่เข้าไปในวังให้ดูแลกุมาร ทริปโทลีมัส ผู้เป็นน้อง ซึ่งยังเป็นทารกแบเบาะอยู่
เมื่อเทพีดีมิเทอร์ ได้อุ้มทารก  ทารกก็เปล่งปลั่งมีนวลขึ้นเป็นที่อัศจรรย์แก่เจ้านครและ  บริวารยิ่ง  แล้วไม่นานนัก เทพีดีมิเทอร์ก็ออกจากเมืองนี้เที่ยวหาธิดาต่อไป
วันหนึ่งในขณะที่เทพีดีมิเทอร์พักเลียบฝั่งแม่น้ำอยู่นั้น นางได้พบวัตถุแวววาว สิ่งหนึ่งอยู่แทบบาท  นางจำได้ทันทีว่าเป็น สายรัดขององค์ที่เพอร์เซโฟนีทิ้งฝากนางอัปสรแห่งแม่น้ำไซเอนีไว้  เมื่อตอนรถของฮาเดสจะลงสู่บาดาล    เมื่อได้รู้ถึงที่อยู่ของธิดาแล้ว เทพีดีมิเทอร์จึงรีบไปอ้อนวอนเทพซุสให้ช่วย  แต่เทพซุสมีเงื่อนไขว่า  ถ้าเพอร์เซโฟนีไม่ได้เสวยสิ่งใดในระหว่างที่อยู่บาดาล จะให้ฮาเดสส่งเพอร์เซโฟนีขึ้นมาอยู่กับมารดา  แล้วมีเทวบัญชาให้เฮอร์มีสลงไปสื่อสารแก่ฮาเดสในยมโลก  ฮาเดสจึงต้องส่งเพอร์เซโฟนีให้แก่เทพีดีมิเทอร์  แต่ในขณะนั้นภูตครองความมืดเรียกว่า แอสกัลลาฟัส  ร้องประกาศขึ้นว่า ราชินีแห่งยมโลกได้เสวยเมล็ดทับทิมแล้ว 6 เมล็ด  ในที่สุดจึงตกลงกันเป็นยุติว่า ในปีหนึ่ง ๆ ให้เพอร์เซโฟนีเทวีอยู่กับฮาเดสใน ยมโลก 6 เดือน แล้วให้กลับขึ้นมาอยู่กับมารดาบนพิภพอีก 6 เดือน สลับกันอยู่ทุกปีไป  ด้วยเหตุนี้เมื่อเพอร์เซโฟนีเทวีอยู่กับมารดา  โลกจึงอยู่ในระยะกาลของฤดูใบไม้ผลิ  พืชพันธุ์ธัญญาหารนานาชนิดผลิดอก  ออกผล  และเมื่อเพอร์เซโฟนีเทวีลงไปอยู่ในบาดาล  โลกก็ตกอยู่ในระยะกาลของฤดูหนาว พืชผลทั้งปวงซบเซา  อันเป็นความเชื่อของชาวกรีกและโรมัน 
  และเมื่อเจ้าแม่ดีมิเทอร์พบธิดาแล้ว ก็กลับไปยังเมืองอีลูสิส อีกครั้ง  เพื่อให้มนุษย์นั้น รู้จักการทำไร่ ไถนา และเทพีดีมิเทอร์ได้สอนทริปโทลีมัส ซึ่งเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว  ให้รู้จักใช้ไถ จอบ และเคียว สั่งสอนชาวนาสืบ ๆ กันมาจนตราบเท่าบัดนี้

 
 
 


วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556


ATHENA – อธีนา หรือ มิเนอร์วา เป็นเทพีแห่งสงคราม ความเป็นปราชญ์และศิลปะ

 

 

          
เทพีอธีนา เป็นหนึ่งในสิบสองเทพแห่งโอลิมปัส เป็นเทพีแห่งปัญญา เนื่องจากเกิดมาจากส่วนหัวของ ซุส ประมุขแห่งเหล่าทวยเทพ ในขณะที่กำลังประชุมเหล่าเทพที่เทือกเขาโอลิมปัส เมื่อจู่ ๆ ซุสเกิดปวดศีรษะอย่างรุนแรง จึงได้ให้เฮเฟสตัส เทพแห่งการตีเหล็กใช้ขวานผ่าศีรษะออก ปรากฏเป็นอธีนาที่สวมชุดเกราะพร้อมหอกกระโดดออกมา เทพีอธีนาเป็นธิดาของเทพีเมทิส ซึ่งถูกซุสกลืนเข้าไปในท้องตั้งแต่ยังมีครรภ์แก่ เนื่องจากคำทำนายที่ว่าบุตรที่เกิดจากนางจะเป็นผู้โค่นบัลลังก์ของซุส แต่แม้ว่าอธีนาจะถือกำเนิดมาพร้อมกับคำทำนายนั้น พระนางก็เป็นหนึ่งในลูกรักของซุส ว่ากันว่าฮีราอิจฉาอธีนาที่ถือตัวว่าเป็นผู้กำเนิดมาจากซุสโดยตรง
และนอกจากอธีนาจะเป็นเทพีแห่งปัญญาแล้ว ยังเชื่อกันว่าพระนางเป็นเทพีแห่งสงครามด้วย เนื่องจากเทวรูปของพระนางมักปรากฏเป็นรูปผู้หญิงสวมชุดเกราะ ถือโล่และหอกที่มือซ้าย และถือไนกี้ เทพีแห่งชัยชนะที่มือขวา โดยที่ชื่อกรุงเอเธนส์ เมืองหลวงของกรีซ ก็มีที่มาจากพระนามของนาง ชื่อเต็มของอธีนาคือ พัลลัสอธีนา (Pallas Athena) ซึ่งชื่อพัลลัส มาจากเพื่อนมนุษย์ของอธีนาซึ่งเธอพลั้งมือสังหารไปขณะเล่นด้วยกัน จึงได้นำชื่อของพัลลัสมาใส่นำหน้าเพื่อเป็นที่ระลึก อธีนาเป็นตัวแทนของสงครามที่เอาชนะด้วยกลยุทธ์หรือความถูกต้อง ซึ่งต่างจากแอรีสที่เป็นเทพสงครามที่ใช้กำลังมากกว่า
นอกจากนี้ อธีนา ยังเป็นหนึ่งในสามเทพีพรหมจรรย์ด้วย ซึ่งประกอบด้วย พระนาง, อาร์เทมีส เทพีแห่งดวงจันทร์ และเฮสเทีย เทพีแห่งครัวเรือน
เทพีอธีนา มีวิหารพาร์เธนอนเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อบูชา
 
 
 
ATLAS - แอตลาส  หนึ่งในเหล่าไททันที่ก่อกบฏในสงครามไททัน
 
 
เทพแอตลาส เป็นเทพผสมระหว่างเทพและยักษ์อสูร เป็นโอรสของ เทพไออาพิทัส เทพแห่งสงคราม กับ คลิมีน เทพธิดาแห่งมหาสมุทร ในสายวงศ์ตระกูลยักษ์อสุรา ไททัน
            ตระกูลไททัน เป็นตระกูลยักษ์อสูรสาแหรกที่ เก่าแก่ที่สุด เป็นลูกหลาน ของ เทพอูรานัส ผู้ปกครองแผ่นดินสวรรค์โอลิมปัส กับ นางจีอา เทพีแห่งพื้นพิภพ
 ในยุคต่อมา เมื่ออารยธรรมกรีกในภาค มนุษย์ แปรเปลี่ยน แกนอำนาจของผู้ปกครอง ตำนานเทพปกรณัม ของเหล่าเทพเจ้า ก็ได้เกิดการสร้างเรื่องขึ้นมาใหม่ เล่าผ่านเป็นเรื่องราวของ มหาสงคราม ระหว่างเทพเจ้าครั้งใหญ่
เมื่อเทพเจ้า โครโนส โอรสเทพอูเรนัส สายตระกูลไททันอสูรได้สังหารพระบิดา และขึ้นปกครองสรวงสวรรค์โอลิมปัส เหล่าเทพอสูรไททันได้ปกครองสวรรค์ในยุคแรกๆ  ต่อมาได้เกิด มหาสงคราม ระหว่างเทพซุส โอรสของโครโนส กับเหล่าเทพไททัน ที่มี เทพบิดา โครโนส เป็นผู้นำ  ในมหาสงคราม เทพแอตลาส ผู้เป็นหลานเทพบิดาโครโนส ลูกครึ่งยักษ์อสูร เป็นจอมทัพคุมไพร่พลไททันเข้าต่อกรกับเหล่าเทพซุส
มหาสงครามแห่งเทพ ผู้ครองฟ้า กินเวลายาวนาน มีการทำลายล้างอย่างรุนแรง สร้างความเสียหายไปทั่วทุกที่ จนในที่สุด ฝ่ายเทพซุสก็สามารถเอาชนะพระเทพบิดา โครโนส ได้เป็นผลสำเร็จ และเมื่อฝ่าย อสูรไททัน เป็นฝ่ายปราชัย เทพซุสในฐานะผู้ชนะ ก็ได้ลงโทษบรรดาเหล่าเทพเจ้าผู้แพ้ด้วยการทรมานให้ได้รับทุกขเวทนาในขุมนรก ตรุทาร์ทะรัส  และด้วยเทพ แอตลาส ผู้เป็นขุนทัพฝ่ายไททัน จึงต้องโทษทัณฑ์ที่หนักหนากว่าผู้อื่น โดยจะต้องมาทำหน้าที่ แบกสวรรค์ไว้บนบ่าตลอดกาล


วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556


         APOLLO - อพอลโล  เทพแห่งดวงอาทิตย์ การดนตรี พยากรณ์ และการแพทย์




  






เป็นบุตรชายคนโตของมหาเทพซุส เป็นหนึ่งใน 12 เทพแห่งโอลิมปัส เป็นบุตรของซุส จอมเทพแห่งสวรรค์และนางเลโต เป็นเทพแห่งแสงสว่าง หรือเทพแห่งดวงอาทิตย์ รวมถึงเป็นเทพแห่งสัจจะและการดนตรีด้วย อพอลโลมีน้องสาวฝาแฝดชื่อ อาร์เทมีส หรือ ไดอาน่า (ในโรมัน) ซึ่งเป็นเทพีแห่งดวงจันทร์คู่กัน อพอลโล เป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม มักเล่นดนตรีด้วยพิณ เชี่ยวชาญการใช้ธนู  ในสงครามกรุงทรอย อพอลโล มีบทบาทเป็นเทพที่รักษาชายฝั่งเมืองทรอย ที่เมืองเดลฟี่ มีเทวสถานบูชาอพอลโลอยู่
           นอกจากนี้แล้ว อพอลโล ยังมีชื่อเรียกอื่น ๆ อีก เช่น ฟีบัส   อาเบล  ไพธูส  หรือ เฮลิออส  ซึ่งแต่ละชื่อมีความหมายถึง แสงสว่างทั้งสิ้น
           ปัจจุบัน อพอลโล เป็นชื่อที่ถูกตั้งตามอยู่บ่อยครั้ง โดยมีความหมายในทางที่เกี่ยวกับแสงสว่างหรือความสำเร็จ เช่น เป็นชื่อปฏิบัติการทางอวกาศของนาซ่าที่เรียกว่า โครงการ อพอลโล หรือเป็นชื่อสินค้าต่างๆ เช่น ยี่ห้อน้ำมันเครื่อง  ยี่ห้อหรือชื่อรุ่นรถยนต์  ชื่อบริษัท เป็นต้น
         อพอลโลเป็นเทพที่ถูกปั้นด้วยทองแดงยืนคร่อมอ่าวทะเลอีเจียน ที่เกาะโรดส์ ที่มีชื่อว่า เทวรูปโคโลสซุส นับเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์โลกยุคโบราณด้วย โดยทั่วไปรูปปั้นอพอลโลจะถือเครื่องดนตรีคล้ายพิณ และมีลูกบอลทองคำที่เป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์




         
 




         ARTEMIS - อาร์เทมิส หรือ ไดอาน่า  เทพีแห่งดวงจันทร์ เป็นเทพีพรหมจารีแห่งการล่าสัตว์และความสมบูรณ์

                            

 
         
 
     




เป็นธิดาฝาแฝดของเทพซุสกับนางอัปสร ลีโต  หรือ แลโตนา มีพี่ชายร่วมอุทรคือ เทพอพอลโล  เทพีอาร์เทมีสมีชีวิตโลดโผนกว่าเทพีองค์อื่น เพราะทรงโปรดการล่าสัตว์และชอบชีวิตโสด จนเทพซุสประทานนางอัปสร ผู้ไม่ต้องการแต่งงานจำนวน 50 ให้เป็นบริวาร สาเหตุที่พระนางไม่ต้องการมีความรัก ก็เพราะมีความหลังฝังใจจากที่นางลีโต ต้องทรมานกับการคลอดบุตร และในเวลาที่ประสูติเทพีอาร์เทมีสก็ซึมซับความรู้สึกนั้นได้ พระนางจึงไม่เชื่อในความรักและไม่ต้องการคู่ครอง เทพีอาร์เทมีสวิงวอนให้เทพซุส สาบานว่าจะไม่จับคู่สมรสให้พระนางหรือให้พระนางสมรสไม่ว่ากรณีใด และให้พระนางเป็นเทพีผู้ครองพรหมจรรย์ ซึ่งเทพซุสก็สาบานโดยให้แม่น้ำสติกซ์ซึ่งไหลรอบนรกเป็นพยาน (การสาบานต่อแม่น้ำสติกซ์มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้ใดผิดคำสาบาน ไม่ว่ามนุษย์หรือเทพเจ้าจะประสบเคราะห์กรรมอย่างร้ายแรง)
     เทพีอาร์เทมิสยังเป็นจันทราเทพี เทพีผู้ครองช่วงเวลาแห่งราตรีกาลและเทพีผู้ประทานแสงสว่างแก่รัตติกาลอีกด้วย แต่พระเทพียังมีความสามารถที่ดูจะออกแนวบู๊ๆคือ การล่าสัตว์ พระเทพีโปรดการล่าสัตว์ พระองค์จะมีคันธนูและลูกศรติดตัวเสมอ แต่พระองค์ถูกนับถือในนาม เทพีผู้คุ้มครองสัตว์ป่าเสียมากกว่า หากใครเข้าไปในเขตป่าของพระองค์โดยยิงหรือจับสัตว์ีป่าที่อยู่้ในอาณาเขตของพระองค์ หากพระเทพีทราบเข้าผู้นั้นอาจต้องถูกสังหารถึงฆาตด้วยลูกธนูแห่งเทพีอาร์เทมิส      
      เทพีอาร์เทมิสยังทรงเป็นเทพีผู้ถือพรหมจรรย์ เจริญรอยตาม เทพีเฮสเทียและเทพีอธีน่า ด้วยเหตุเพราะพระองค์ ทรงเห็นความทุกข์ของเทพีแลโตนา ผู้เป็นมารดาที่ต้องลำบากลำบนกับความรักที่มาเป็นพระชายาเทพซุสที่ถูกเทพีเฮร่าตามราวี จึงทำให้พระเทพีมิโปรดและกลัวที่จะออกเรือน จึงปฏิญาณว่าจะไม่ขอมีครอบครัวและจะรักษาพรหมจรรย์ไว้ให้ยิ่งชีพ แต่ก็ยังมีตำนานบางตอนที่กล่าวถึงพระเทพีหลงรักกับบุรุษรูปงาม 2 คน คือ ไอโอออน  กับ เอนดิเมียน แต่ก็มักจะจบไม่ดีทุกครั้ง  ความรักของเทพช่างน่าสงสารจริงๆ มักเป็นรักที่จะไม่ค่อยสมหวัง

 

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556



               เทพ เทพี ของชาวกรีกโรมัน
 
 

            สวัสดค่ะ วันนี้นะคะ มีเรื่องเกี่ยวกับเทพ เทพีของชาวกรีกโรมันมาฝากค่ะ เป็นผลมาจากการอ่านหนังสือ ดูหนัง เรื่อง Percy Jackson  เลยสนใจค่ะ ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ

    Adonis - อาโดนิส   เป็นหนุ่มรูปงามที่เทพีแอฟโฟรไดตีหรือวีนัสรัก

              ชายหนุ่มรูปงาม ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของดอกกุหลาบ เล่ามาว่า ครั้งหนึ่งในป่าใหญ่ ขณะเทพีวีนัสกำลังประพาสป่า เกิดพบต้นไม้ใหญ่งดงามต้นหนึ่งหักโค่นลง และภายในมีเด็กชายหน้าตาน่ารักอยู่ พระนางจึงรับเด็กชายไว้และตั้งชื่อเขาว่า อาโดนิส พระนางฝากเทพีเพอร์เซโฟนี่ มเหสีแห่งเทพฮาเดสดูแล จนกระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านมา เทพีวีนัสบังเอิญถูกศรรักของโอรสสะกิดจนเป็นแผลเล็ก และเวลาประจวบเหมาะกับที่อาโดนิสเมื่อโตเป็นหนุ่มแล้วมาปรากฏตรงหน้าพระนาง ทำให้เทพีวีนัสหลงรักอาโดนิสปักใจ และขออาโดนิสคืนจากเทพีเพอร์เซโฟนี่ แต่องค์เทพีไม่ยินยอมด้วยความผูกพันที่มีต่อชายหนุ่ม ทั้งสองเทพีจึงเกิดเบาะแว้งกันใหญ่โต เทพซุสจึงตัดสินให้อาโดนิสสามารถอยู่กับเทพีวีนัสสี่เดือนบนโลกมนุษย์ อยู่อีกสี่เดือนในยมโลกกับเทพีเพอร์เซโฟนี่ และอีกสี่เดือน อาโดนิสจะอยู่ที่ไหนก็ได้ตามใจ (บางตำราก็ว่า แบ่งระหว่างสองเทพีองค์ละ 6 เดือน) แต่เทพฮาเดส หึงหวงชายา(ลับ)ของตนมาก จึงแปลงเป็นหมูป่าที่อาโดนิสชอบล่าลวงเขาเข้าป่าไปและฆ่าทิ้ง เทพีวีนัสเสียใจมากที่พบแต่ศพของชายคนรัก พระนางจึงเนรมิตดอกไม้งามขึ้นมาจากเลือดของอาโดนิส ซึ่งเป็นดอกไม้สัญลักษณ์แห่งความรัก ดอกกุหลาบนั่นเอง
 
    
 
 
 
 

    APHRODITE - แอฟโฟรไดตี หรือ วีนัส เทพีแห่งความรักและความงาม

 
                พระนางเป็นชายาของเทพวัลคัน หรือ เฮฟเฟสตุส เทพแห่งงานช่าง เทพีวีนัสตามตำราว่าเกิดขึ้นเองจากฟองทะเล ด้วยพระนามของพระนาง อะโฟรไดท์ นั้น มาจากคำว่า 'Aphros' ที่แปลว่าฟอง ซึ่งมีตำนานว่าพระนางเกิดในทะเลใกล้เกาะไซเธอรา และถูกคลื่นซัดไปยังเกาะไซปรัส แต่บางตำราว่าเป็นธิดาของเทพซุสที่เกิดจากจากนางอัปสรไดโอนี แต่ที่ตรงกันคือพระนางมีความงดงามที่ไม่มีใครเทียมได้แม้กระทั่งเทพธิดาด้วยกัน และสามารถสะกดใจผู้ชายทุกคนได้ภายในพริบตาแรกที่มองเห็นพระนาง อีกทั้งพระนางก็ชอบใจในความสวยงามของตนเองมากเสียด้วย พระนางจึงไม่ยอมเด็ดขาดหากใครจะกล้าล้ำเส้นเทพีความงามของพระนาง  ด้วยแรงริษยาที่รุนแรงพอๆกับรูปโฉมสะสวยทำให้เทพีวีนัสเป็นที่หวาดหวั่นของเทพหลายๆองค์
               ในวันแรกที่เทพีวีนัสปรากฏตัวบนเขาโอลิมปัส เทพชายทุกองค์โดยเฉพาะเทพซุสเองก็อยากได้พระนางมาครอบครอง แต่เทพีวีนัสไม่ใช่หญิงสาวเรียบร้อยหัวอ่อนว่าง่าย ทำให้เทพซุสเกิดความโมโหและแก้เผ็ดพระนาง โดยจับพระนางแต่งงานกับเทพวัลคัน พระโอรสของพระองค์ ซึ่งเทพวัลคันชอบขลุกอยู่แต่ในโรงงาน ก่อสร้าง และประดิษฐ์สิ่งต่างๆเนื้อตัวมอมแมม แถมยังเป็นเทพขาเป๋ ทำให้เทพีวีนัสโกรธเคืองอย่างมาก แต่พระนางก็กล้าทำในสิ่งที่เทพีอื่นๆ ไม่กล้า นั่นคือการคบชู้สู่ชายแบบตามใจชอบ